ตร. เล็งสอบต่อ ‘สกาย’ หลัง ‘ชูวิทย์’ แถลงปมโดนรีด 2.7 หมื่นแลกปล่อยตัว

ชูวิทย์ และ สกาย ตำรวจเตรียมตัวสอบปากคำนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ปมจ่าย 2.7 หมื่น ตำรวจแลกเปลี่ยนปล่อยตัว ที่โรงแรมเดอะเดวิส ในช่วง 15.00 น. วันนี้ ก่อนนำข้อมูลลงสำนวน เตรียมดำเนินคดีจำนวน 7 นาย
จากกรณีช่วงเย็นวานนี้ (31 ม.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาโพสต์รูปภาพคู่กับนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ หรือนายสกาย เพื่อนชายของเน็ตไอดอลสาวชาวไต้หวัน ที่ออกมายอมรับที่ผ่านมาว่า เป็นคนจ่ายเงินจำนวน 27,000 บาท ให้กับตำรวจ สถานีตำรวจห้วยขวาง ขณะตั้งด่านตรวจหน้าสถานทูต จีนช่วงกลางดึก ต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา นั้น
คืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 1 ก.พ. พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 เดินทางเข้าประชุมกับชุดพนักงานที่ทำหน้าที่สอบสวน ติดตามประเด็น ดาราสาวชาวไต้หวัน ถูกตำรวจห้วยขวางไถเงิน โดย พล.ต.ต.อัฎธพร เปิดเผยก่อนเข้าประชุมว่า ตำรวจเตรียมสอบปากคำนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ที่โรงแรมเดอะเดวิส ในช่วง 15.00 น. วันนี้ ก่อนนำข้อมูลลงสำนวน จัดแจงฟ้องร้องคดีจำนวน 7 นาย โดยนายชูวิทย์ ตระเตรียมนำนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ออกมาแถลงข่าวในเวลา 14.00 น. ของวันนี้
ล่าสุดมีกล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ติดต่อผ่าน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้าพบเพื่อถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเวลา 15.00 น. โรงแรมเดอะเดวิส สุขุมวิท 24 เพราะว่าไม่สะดวกเดินทางไปพบพนักงานที่ทำหน้าที่สอบสวนที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล รวมทั้งต้องการให้นายชูวิทย์ ร่วมเป็นประจักษ์พยาน ในการให้ถ้อยคำรวมทั้งให้ข้อมูลดังกล่าว ส่วนภายหลังการสอบปากคำแล้ว จะนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการดำเนินคดีกับตำรวจได้หรือไม่นั้น ขึ้นกับการให้การของนักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ ในวันนี้
ขณะที่ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยก่อนประชุมกับทีมพนักงานที่มีหน้าที่สอบสวน ชุดคลี่คลายคดีตำรวจรีดไถเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน ว่า หลังได้ข้อมูลจากนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ในช่วงบ่ายวันนี้ พนักงานที่มีหน้าที่สอบสวนจะนำข้อมูลมาประกอบสำนวน เพื่อพิจารณาฟ้องร้องอาญามาตร 149 กับตำรวจทั้ง 7 นาย จากเดิมที่ตั้งข้อหามาตรา 157 กับตำรวจเพียง 2 นาย ประกอบด้วยตำรวจชั้นประทวน 1 นาย และก็ตำรวจชั้นสัญญาบัตรอีก 1 นาย ส่วนที่เหลืออีก 5 นาย อยู่ระหว่างการสอบปากคำ กระทั่งช่วงเย็นวานนี้ มีการตรวจดูเพิ่มพบว่าตำรวจทั้ง 5 นาย ที่ปรากฏอยู่ในคลิป มีข้อพิรุธสงสัยอาจมีส่วนทราบเหตุการณ์ด้วย ก็เลยจะดำเนินการเอาผิดด้วยทั้งหมด แต่รอผลการสอบสวนนักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ในช่วงบ่ายวันนี้อีกที
อย่างไรก็ตามในส่วนการดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ ในฐานะผู้ให้สินบนนั้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ เพราะว่าการจะดำเนินคดีในข้อหานี้ได้ นักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ต้องอยู่ในฐานะผู้เสนอติดสินบนเจ้าพนักงาน ไม่ได้ถูกขู่บังคับ ฉะนั้นการสอบปากคำนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ในบ่ายวันนี้จึงสำคัญมากแล้วก็เป็นการสอบปากคำในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ โดยทีมสอบสวนได้เตรียมรูปถ่ายตำรวจชุดตั้งด่านในวันเกิดเหตุทั้งยัง 14 นาย ให้ผู้เสียหายชี้ใน 3 ประเด็นสำคัญๆคือ จ่ายเงินให้กับใคร/ใน 14 คนนี้ มีใครบังคับขู่เข็ญเรียกเงิน แล้วก็มีใครมีส่วนรู้เรื่องจาการรีดรับเงินในครั้งนี้บ้าง
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวสารตำรวจจะเดินทางไปสอบปากคำเน็ตไอดอลสาวที่ประเทศไต้หวันนั้น การจะเดินทางไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการสอบปากคำชาวสิงคโปร์ในช่วงบ่ายแม้พบว่า ผู้เสียหายชาวสิงคโปร์เป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาท เพียงแต่คนเดียว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปสอบสวนเน็ตไอดอลสาว เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียที่หายที่ตามที่เป็นจริง คือนักท่องเที่ยวชาวประเทศสิงคโปร์ แต่หากผลการสอบสวนพบว่าเน็ตไอดอลสาว ร่วมจ่ายเงินด้วยหากแม้เพียงบาทเดียว ตำรวจก็ต้องต้องเดินทางไปสอบคำให้การเน็ตไอดอลสาวไต้หวันด้วย ในฐานะผู้เสียหายร่วม
นอกจากนี้ นักข่าวพยายามซักถามกรณีการโยกย้าย พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผู้กำกับการสน.ห้วยขวาง ไปเป็น ผกก.สถานีตำรวจหนองจอก ใช่บทลงโทษจากกรณีนี้หรือไม่ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เจาะจงเพียงสั้นๆว่า ตนไม่ทราบ ทุกอย่างเป็นดุลยพินิจของหัวหน้า
‘ชูวิทย์’ เปิดผู้เห็นเหตุการณ์ชาวสิงคโปร์ ย้ำ ตร.ไถเงินจริง เผยกล่าวไทยด้วยโดนสวนกลับ “อย่ากวนตีน”
‘ชูวิทย์’ เปิดตัว ‘สกาย’ พยานชาวประเทศสิงคโปร์ รับถูกตร.ขูดรีดเงินจริง แจงราคาค่าปรับบุหรี่ไฟฟ้าอันละ 8,000 ไม่พกพาสปอร์ตเล่มละ 1,000 เผยกล่าวไทยด้วยแต่โดนสวนกลับ “อย่ากวนตีน” ยันไม่เมา-จำหน้าได้ทุกคน
เวลา 14.00 น. วันที่ 1 ก.พ. 2566 ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย จัดแถลงข่าวกรณีของ อันหยูชิง หรือ Charlene An ศิลปินสาวไต้หวันกับกลุ่มเพื่อนที่บอกว่าถูกตำรวจตั้งด่านรีดไถเงิน 27,000 บาท โดยก่อนแถลงชูวิทย์ได้ตีปี๊บ รวมทั้งพูดว่าจะนำปี๊บดังกล่าวไปฝากให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคลุมศรีษะไว้ เพื่อแอบซ่อนจากข้อข้อเท็จจริงที่จะเปิดเผย
ชูวิทย์ กล่าวว่า การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่มีการทำเป็นขบวนการ จัดแบ่งแบ่งส่วนให้กับผู้ที่ปฏิบัติงาน การตั้งด่านนี้ทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว โดยยิ่งไปกว่านั้นในช่วงนี้ ที่มีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด 19 เนื่องจากแทนที่นักท่องเที่ยวจะกลัวผู้ร้าย กลับต้องมากลัวตำรวจที่ควรดูแลความปลอดภัยของพวกเขา
“หากถึงวันนี้ตำรวจต้องการจะคืนเงิน 27,000 บาทให้กลุ่มผู้เสียหายตนก็เชื่อว่าเขาจะไม่รับแล้ว ด้วยเหตุว่าทั้งหมดไม่ได้รับความชอบธรรม ทั้งยังที่ผ่านมายังถูกเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายป้ายสีมาตลอด หากเปรียบเทียบตำรวจไม่ดีเป็นนิ้วร้ายที่ต้องตัดทิ้ง มั่นใจว่าวันนี้ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว” ชูวิทย์ ระบุ
จากนั้น เวลา 14.20 น. ชูวิทย์ ได้เชิญ สกาย ชาวประเทศสิงคโปร์ เพื่อนของอันหยูชิง มาร่วมแถลงข่าว
โดย สกาย กล่าวว่า ถ้าไม่ไว้ใจ ชูวิทย์ ก็คงไม่เดินทางมา วันที่เกิดเรื่องตนกับกลุ่มเพื่อนรวมทั้งอันหยูชิง ไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม หลังจากนั้น ระหว่างเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่บริเวณถนนหนทางรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่านใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่ โดยเจ้าหน้าที่ประจำด่าน บอกให้จอดรถเข้าข้างทางแล้วก็ให้ทุกคนลงจากรถ ก่อนเข้ามาจับตามตัว ค้นกระเป๋า ขอให้นำพาสปอร์ตออกมาแสดง และให้ถอดรองเท้าด้วย ดังนี้ ในวันดังกล่าวตนไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก
สกาย กล่าวต่อว่า จากตรวจค้น เจ้าหน้าที่เจอบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน พร้อมถามต่อว่ามาจากประเทศไหน โดยในตอนนั้น ทางกลุ่มเองเริ่มสงสัยแล้วว่า เพราะอะไรตำรวจทำเสมือนเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังสั่งห้ามใช้โทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร หรือถ่ายรูป ซึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฝั่งตนมีเพียงแต่ตัวเองที่สื่อสารภาษาไทยได้
นอกจากนั้น สกาย อ้างด้วยว่า ระหว่างที่ตนถามหาสาเหตุของการตรวจหา ทางเจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า “อย่ากวนตีน” ซึ่งมั่นใจว่าตนและก็เพื่อนไม่ได้ทำผิดกฎหมายแน่นอน ด้วยเหตุว่าตามปกติแล้ว การเดินทางเข้าประเทศไทย คนสิงคโปร์ไม่จำเป็นจะต้องต้องมีวีซ่ายกเว้นกรณีที่อยู่อาศัยเกินกว่า 30 วันขึ้นไป ซึ่งตนเดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2565 เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่และก็อยู่ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 5 ม.ค. 2566 ที่เป็นวันระบุเดินทางกลับ
ในส่วนของพาสปอร์ตที่เจ้าหน้าที่พยายามเรียกดู ตนได้ตอบไปว่าเอกสารต่างๆอยู่ที่ที่พัก และมีรูปแสกกลางนเก็บเอาไว้ภายในโทรศัพท์ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ฟังแล้วก็พยายามโต้เถียงว่าต้องแสดงเอกสารทันที ห้ามไปไหน และพยายามแจ้งว่าการที่พกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด
สกาย ก็เลยอธิบายต่อไปว่า บุหรี่ไฟฟ้าซื้อมาจากร้านค้าที่วางขายย่านตลาดห้วยขวาง แล้วก็ไม่รู้ว่าผิดกฎหมาย เนื่องจากว่ามองเห็นวางขาย โดยธรรมดา แล้วก็ การมาประเทศไทยครั้งนี้ เนื่องจากว่าต้องการออกมาบอกความจริงทั้งหมด ไม่รู้สึกกังวลในการให้ข้อมูลกับตำรวจ
เมื่ออธิบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จ เจ้าหน้าที่เริ่มมีท่าทีขุ่นเคือง พูดว่าทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจและก็ต้องอยู่ที่ห้องขังในสน.อย่างน้อยอีก 2 วัน เมื่อสนทนาอยู่ระยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจก็เข้ามาแจกแจงให้ตนเองฟังว่า “บุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาท ส่วนที่ไม่เจอหนังสือเดินทาง 3 คน อีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท”
โดย สกาย เปิดเผยว่า ขณะนั้นมีเงินติดตัวอยู่ 30,000 บาท เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย ตำรวจก็เรียกแท็กซี่ให้และให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ ยืนยันว่า ตำรวจกลุ่มดังกล่าวแสดงท่าทีและพูดจาในลักษณะบีบคั้นให้จ่ายเงิน และตนเองไม่ได้เสนอให้
ดังนี้ ตำรวจที่เข้ามาพูดคุยเรื่องเงินมี 3 นาย โดยนายแรก เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ สวมแจ็คเกต มีหนวดเครา ทำหน้าที่ในการเรียกรวมทั้งรับเงินจาก สกาย และเก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ส่วนตำรวจนายที่ 2 รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้องวงจรปิด ส่วนตำรวจนายที่ 3 เป็นคนรูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้าเข้ามาร่วมฟังการบอกคุยด้วย
“ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าหากอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องบอกคุย แต่สิ่งที่เกิดตำรวจไม่มีเหตุผลอะไรแล้วก็บอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว” สกาย กำหนด
ขณะเดียวกัน ชูวิทย์ ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพของตำรวจ สังกัดสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ห้วยขวาง มาจำนวนหนึ่ง แล้วก็เปิดให้ สกาย ดูก่อนถามว่า จดจำใครได้บ้าง ซึ่ง สกาย ผงกศีรษะตอบรับ พร้อมยืนยันว่าจำได้ทุกคน
ในตอนท้ายชูวิทย์ กล่าวว่า ในนามของคนไทยต้องขออภัยถึงการกระทำของตำรวจ พร้อมเรียกร้องให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลลาออกด้วย
อย่างไรก็ดี เวลาประมาณ 15.30 น. สกาย ลุกออกจากบริเวณแถลงข่าว พร้อมทั้งที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เดินทางมาร่วมพินิจการณ์การสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์คนสำคัญใน โดยได้ให้คณะกรรมการและทีมพนักงานสอบสวน 4-5 นาย ร่วมสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์อย่างละเอียดและครอบคลุมทุกประเด็นต่อไป